วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพของไก่ มีสุข แจ้งมีสุขพิธีกรมากความสามารถ


เป็นอีกหนึ่งคนที่หันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ทั้งสุขภาพกายและใจ สำหรับ “ไก่- มีสุข แจ้งมีสุข”  พิธีกรมากความสามารถจาก รายการผู้หญิงถึงผู้หญิง เธอบอกว่า “เป็นคนที่มีความสุขกับการกิน  จะตามใจปากมาก แต่ความสุขบางอย่างก็ตามมาด้วยความทุกข์ ถ้ากินตามใจปากมากเกินไปก็เกิดโรคได้”
“แต่ก่อนกินพวกโปรตีนเยอะ ชอบกินอาหารประเภทเนื้อมากๆ ทั้ง เนื้อย่าง ไก่ทอด สเต็ก  ปกติไม่ชอบกินข้าวจะกินขนมปัง หรือ เบเกอรี่แทน ตั้งแต่ทำรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง  รู้สึกว่าต้องใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงเริ่มลดแป้ง ลดโปรตีนประเภทเนื้อ จากเป็นคนไม่ชอบกินผัก ก็หันมาสนใจพยายามคิดว่า กินผักทำให้สุขภาพดีและผิวสวย”
นอกจากจะเอาใจใส่เรื่องอาหารแล้ว “ไก่ มีสุข” ก็ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายไปพร้อมๆ กันด้วย
“เป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้วทั้ง เทนนิส ปั่นจักรยานฟิกเกียร์ จะพยายามปั่นจักรยานให้ได้อย่างน้อยสองวันต่อสัปดาห์  พอเริ่มทำประจำเห็นผลเลยว่า รูปร่างดีขึ้น ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ช่วงบ่าย ทำงานจะไม่รู้สึกเพลียเหมือนแต่ก่อน สองสามปีที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่า ชีวิตสดชื่นขึ้น”
สำหรับการดูแลสุขภาพใจนั้น พิธีกรคนเก่งบอกว่า “เป็นคนไม่ชอบเรื่องเครียดๆ  จะพยายามไม่ทำให้สุขภาพจิตเสีย  มีช่วงหนึ่งทำงานหนักมาก งานที่ติดต่อเข้ามาจะรับหมด  เพราะคิดว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ ที่ต้องลองทำ ปกติเป็นคนหงุดหงิดยากมาก แต่พอทำงานหนักๆ กลับเป็นคนหงุดหงิดง่ายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จนวันหนึ่งเกิดคำถามกับตัวเองว่า ที่ทำอยู่มีความสุขหรือเปล่า  พอคิดได้ จึงเริ่มเตือนสติตัวเอง จากนั้นก็มีสติในการทำงานมากขึ้น รับงานน้อยลง เพื่ออยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปเที่ยว พักผ่อน ให้ร่างกาย จิตใจได้พักบ้าง”
“สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การศึกษาธรรมะ  ถือศีลภาวนา ทำให้มองเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง  สิ่งที่สุขใจที่สุดคือ เมื่อเห็นตัวเองแล้วเรายอมรับตัวเองได้ทุกอย่าง และพร้อมที่จะเปลี่ยน  ทุกวันนี้เรามีสติและรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่  ได้ปล่อยวาง  ได้อยู่กับธรรมมะ สวดมนต์   ซึ่งเป็นเหมือนพลังที่ทำให้จิตใจเราแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์” พิธีกรคนเก่งฝากทิ้งท้าย



ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต
ที่มา : Team content www.thaihealth.or.th

เผย 28 สมุนไพรรักษาโรค


แนะกระเทียม ช่วยลดไขมันในหลอดเลือดได้


 

          การใช้สมุนไพรเป็นยาบำบัดโรคนั้นอาจใช้ ในรูปยาสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือใช้ในรูปตำรับ ยาสมุนไพร ปัจจุบันตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้รักษาโรคได้มีทั้งหมด 28 ขนาน เช่น

          ยาจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ แก้ตัวร้อน

          ยามหานิลแท่งทอง ใช้แก้ไข้ แก้หัด อีสุกอีใส

          ยาหอมเทพพิจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ

          ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย

          ยาประสะมะแว้ง แก้ไอ ขับเสมหะ

          ยาตรีหอม แก้ท้องผูกในเด็ก ระบายพิษไข้

สมุนไพรที่นิยมใช้เดี่ยวๆ รักษาอาการของโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่

          สมุนไพรแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด

          สมุนไพรแก้ท้องเสีย กล้วยน้ำว้า ทับทิม ฝรั่งดิบ

          สมุนไพรแก้ไอ มะแว้ง ขิง มะนาว

          สมุนไพรแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขมิ้นชัน แห้วหมู กระชาย

          สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ ขี้เหล็ก ดอกบัวหลวง หัวหอมใหญ่

          สมุนไพรแก้เชื้อรา กระเทียม ข่า ชุมเห็ดเทศ

          สมุนไพรแก้เริม เสลดพังพอนตัวเมียและตัวผู้

สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า

          1.ว่านหางจระเข้ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุด      ด่างดำ รักษาสิว

          2.แตงกวา : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น

          3.มะเขือเทศ : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ

          4.ขมิ้นสด : บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย  และช่วยให้สิวยุบเร็ว

          5.กล้วยน้ำว้าสุก : บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย

          6.หัวไชเท้า : ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

สมุนไพรที่มีสารต้านเซลล์มะเร็ง

          มะกรูด ผักแขยง ขึ้นฉ่าย บัวบก ผักชีฝรั่ง กระชาย   ข่าใหญ่ มันเทศ ใบมะม่วง มะกอก เบญจมาศ แขนงกะหล่ำ แตงกวา พริกไทย ดีปลี โหระพา กะเพรา ใบตะไคร้ ถั่ว ผักแว่น ผักขวง เพกา ช้าพลู (ชะพลู) ลูกผักชี เร่ว เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ฯลฯ

สมุนไพรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (วิตามินเอ ซี อี)

          วิตามินเอสูง ได้แก่ ใบยอ ใบย่านาง ตำลึง ผักกูด มะระ กระสัง ผักแพว ผักชีลาว ผักแว่น ผักบุ้ง เหลียงกระเจี๊ยบแดง แมงลัก ชะอม พริกชี้ฟ้าแดง แพงพวย ขี้เหล็ก ฯลฯ

          วิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง มะปราง ขนุน ละมุด มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า พุทรา ฯลฯ

          วิตามินอีสูง ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น งาดำ ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าว ข้าวโพด ฯลฯ

          เบตาแคโรทีนสูง ได้แก่  แคร์รอต ฟักทอง แค กะเพรา แพชั่นฟรุต ขี้เหล็ก ผักเชียงดา ยอดฟักข้าว ผักแซ่ว ฯลฯ

สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

          พืชสมุนไพร บวบขม จำปีป่า ปลาไหลเผือก ทองพันชั่ง เจตมูลเพลิงแดง ราชดัด ฝาง แสมสาร ติงตัง ขมิ้นต้น  ฟ้าทะลายโจร กระเทียม ประยงค์ รงทอง ข่อย ขมิ้นชัน แกแล สมอไทย ขันทองพยาบาท

          เครือเถาวัลย์ ดองดึง โล่ติ้น เจตมูลเพลิงขาว มังคุด โทงเทง ทับทิม จำปา ไพล ปรู จำปีหลวง พลับพลึง สบู่ดำ แพงพวยฝรั่ง    สีเสียด กะเม็ง สมอพิเภก

สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง

          ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้

          หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง

ข้อควรระวัง

          1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ

          2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้

          3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น

          4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น

          5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย

          หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)

          หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

สรรพคุณสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด

          1.น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่าน้ำมัน เมล็ดดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลส  เตอรอลในเลือดลดลงและลดการอุดตัน ไขมันในหลอดเลือดได้

          2.กระเทียม มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ลด ไขมันในหลอดเลือดได้ ซึ่งจะใช้กระเทียม ประมาณ 5-7 กลีบ รับประทานหลังอาหารทุกมื้อ เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดจะลดลง

          3.ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองจะมีกรด อะมิโน เลซิติน และวิตามินอีสูง จะช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด

การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดโรคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

          1.การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ อาหาร สมุนไพร ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด

          2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

          3.การพักผ่อนให้เพียงพอ

          4.ตรวจร่างกายประจำทุกปี

สรุปรายชื่อสมุนไพรที่ควรใช้ในรูปอาหารกับโรคเบาหวาน ได้แก่

          บอระเพ็ด มะระไทย ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ มะแว้ง เครือมะแว้ง ต้นตำลึง  ฟ้าทะลายโจร สะตอ ว่านหางจระเข้ แมงลัก อินทนิลน้ำ หอมใหญ่ กระเทียม หญ้าหนวดแมว เตยหอม ฝรั่ง ช้าพลู ขี้เหล็ก สะเดา ผักบุ้ง สักกำแพงเจ็ดชั้น มวกแดง-ขาว ชะเอมไทย รากลำเจียก รากคนทา

          หมายเหตุ - การรักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการใช้ยาลดระดับน้ำตาลร่วมกับยาแผนปัจจุบันอาจจะทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป เป็นอันตรายได้ จึงแนะนำให้ใช้สมุนไพรในรูปของการปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน

สมุนไพรกับโรคเอดส์

          รายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคเอดส์มีการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรหลายชนิด

          โปรตีนจากระหุ่ง แม้ว่าจะมีพิษแต่ก็มีผู้พบว่าส่วนหนึ่งของโปรตีน Ricin ซึ่งเป็นพิษคือ dg A สามารถจับantibody ของ HIV ซึ่งทำให้ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยมีผลต่อเซลล์ปกติเพียง 1/1,000 ของเซลล์ที่มีไวรัส

          การค้นพบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพบยาที่ป้องกันหรือยืดเวลาในการเกิดโรคเอดส์

          Hypericum spp.

          พืชสกุลนี้บ้านเรามี บัวทอง (Hyperi cum garrettii Craib) มีผู้สกัดสาร Hypericin และPseudohypericin จากพืชนี้ พบว่ามีฤทธิ์ป้องกันการขยายตัวของไวรัสเอดส์

          Castanospermun australe

          Tyms และคณะได้พบว่าแอลคาลอยด์ 3 ชนิด มีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสจับกับ T-cells ซึ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแอลคาลอยด์ที่ให้ผลดีที่สุดคือ Castanospermine จาก Castanospermum australe ไม้ยืนต้นของออสเตรเลีย และสารนี้มีพิษน้อย มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย

          ยังไม่มีสมุนไพรใดที่ใช้รักษาโรคเอดส์ได้จริงจัง ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งบางอย่างก็ทดลองโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาสมุนไพร ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการจะค้นพบยารักษาโรคนี้




ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

ทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพ




ช่วยให้สุขภาพดี ต้านอนุมูลอิสระ ห่างโรค


 
          ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้



เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

          การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง
 ขอบคุณภาพจาก : ประมูล

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้


          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย

          วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

          สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้





ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
ขอบคุณภาพ จากอินเตอร์เน็ต

ทัศนคติหมายถึง


 ทัศนคติเปลี่ยน      ชีวิตเปลี่ยนทั้งชีวิต”
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้”  หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาก่อน จริงๆก็เป็นเช่นนั้น  แต่การที่จะเลือกเป็นอะไรนั้น ถ้าไม่เปลี่ยนทัศนคติ บอกได้เลยว่า ไม่มีทางเป็นไปได้  เพราะทัศนคติเป็นเข็มทิศที่จะชี้นำว่าเราจะเดินไปในทิศทางไหน ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว   แล้ว ทัศนคติ หมายถึง อะไร?  มีผลต่อชีวิตคนเราอย่างไร? เรามาเรียนรู้ ความหมายของทัศนคติ กันก่อน  
ทัศนคติ (attitude) หากแปลตรงตามความหมาย  คำว่า ทัศน, ทรรศนะ(น.) หมายถึง ความเห็น, การดู การเห็น , สิ่งที่เห็น   ส่วนคำว่า คติ (น.) หมายถึง  ข้อคิด , ข้อเตือนใจ ,ความเป็นไป   ดังนั้น คำว่า  “ ทัศนคติ ”  จึงหมายถึงแนวความคิดเห็น มุมมอง ความรู้สึก  ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะดี หรือไม่ดี อาจจะลบ หรือบวก ทั้งๆที่ความรู้สึก มุมมองความคิดเห็นนั้น อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ถ้าเรายืนอยู่กลางทุ่งนา ในยามเย็น เราจะมองเห็น พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน นั่นคือ ความรู้สึก จากการมองเห็น แต่ใน ความเป็นจริง พระอาทิตย์ไม่ได้ตกลงไปในดิน ตามที่เรามองเห็น   คนหลายๆคนมองเรื่องเดียวกันอาจจะคิดเห็นเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับแนวความคิดเห็นของแต่ละคน
  ทัศนคติ แนวความคิดเห็นนี้ มีผลต่อชีวิตคนเราอย่างมากมาย  ทั้งนี้ ทัศนคติ เกิดจาก การอบรมเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ , การศึกษา และประสบการณ์ที่ผ่านมา  การมี ทัศนคติที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินชีวิต ชีวิตที่มีความสุข สดชื่น สมหวัง ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากการปลูกฟัง ทัศนคติที่ดี ทั้งสิ้น รวมถึงในการทำงาน ก็ต้องมี ทัศนคติในการทำงาน ทัศนคติที่ดี กับไม่ดีเป็นอย่างไร ทัศนคติอันตราย เป็นอย่างไร ครั้งหน้าจะอธิบายให้ฟังต่อสวัสดีครับ....
...............................................
  
a-korn-tm.gifบทความโดย: อ.กร การันตี
http://www.richtraining.com

การทำจิตใจให้ผ่องใส

ทำจิตให้ผ่องใส (ง่ายๆ) คุณก็ทำได้
กายและจิตแม้ทำหน้าที่คนละอย่าง กายทำหน้าที่ของกาย จิตทำหน้าที่ของจิต แต่ความสัมพันธ์กันของทั้งสองไม่อาจแยกจากกัน หรือขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้เลย กายอยู่แต่ไม่มีใจครองก็ชื่อว่าตาย กายป่วยแต่ใจไม่ป่วยย่อมส่งผลดีต่อกาย เช่น ทำให้กายหายป่วยเร็วขึ้น ถ้ากายไม่ป่วยแต่ใจป่วยก็อาจส่งผลเสียต่อกาย เช่น ทำให้กายทรุด หรือมีอาการแห่งโรคกำเริบขึ้น

จิตป่วยจึงมีผลเสียมากกว่ากายป่วย กายป่วยยังไม่หนักหนาเท่าใจป่วย เพราะว่ากายไม่ได้ป่วยได้ทุกวันเวลาแต่อย่างใด จิตต่างหากที่ป่วยได้ทุกขณะวินาที "จิต" จึงเป็นธรรมชาติที่ทุกคนควรต้องเอาใจใส่ดูแลเช่นเดียวกับกาย แต่ว่าต้องเข้มข้นยิ่งกว่ากายหลายเท่า เพราะโรคทางจิตอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถ้าเผลอสติ เพราะฉะนั้น ต้องคอยเฝ้าดูจิตทุกขณะอย่างใกล้ เพื่อป้องกันมิให้จิตต้องเศร้าหมอง ขุ่นมัว ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล คิดมาก ไปตามอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า "กิเลส" เช่น โลภ โกรธ หลง ริษยา มานะ เป็นต้น ซึ่งเข้ามามีอำนาจเหนือจิต
ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ขอมอบเคล็ดลับ "การดูแลใจและรักษาใจของตัวเองให้ผ่องใส" ด้วยวิธีง่ายๆ และด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน โดยดาราสาว "กิ๊ก" มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ และ นิพนธ์ จัยสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ที.ซี. ทรานสฟอร์เมอร์ จะมาเผยเคล็ดลับที่ว่านี้

ก่อนทำอะไรมีสติเสมอ"สติ" เป็นธรรมที่มีอยู่ในบุคคลทุกคนอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครจะนำมาใช้ได้มากกว่ากัน แต่ทุกวันนี้คนเรามักเผลอและขาดสติขาดความยั้งคิด จึงทำให้เกิดเรื่องราว ปัญหาต่างๆ และความทุกข์ตามมา

กิ๊กมยุริญ ผ่องผุดพันธ์ บอกว่า ต้องมีสติอยู่กับตัวเอง กล่าวคือก่อนทำหรือขณะทำอะไรก็ตามให้คิดพิจารณาไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่จะทำหรือกำลังทำอยู่นั้น เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นหรือไม่อย่างไร ผิดกฎหมาย ศีลธรรม จรรยาบรรณหรือไม่ ที่สำคัญความคิดนั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของคุณงามความดี รวมถึงศีลธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณด้วย จึงจะเป็นสัมมาสติ แต่ถ้าความคิดที่ว่าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ก็จัดเป็นมิจฉาสติ เช่น บอกว่ามีสติคิดจะฆ่าคน อย่างนี้ก็เป็นมิจฉาสติโดยแท้ "ดังนั้น ก่อนที่จะโกรธหรือไม่ชอบใครก็ตาม อยากให้มีสติรู้ตัวให้ทันก่อนว่าเรามีความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เรามีความไม่ชอบใจเกิดขึ้นแล้ว เรามีความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อมีสติรู้เท่าทันแล้ว ก็อย่าปล่อยให้จิตของเราเป็นไปตามสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านั้นซึ่งเข้ามากระทบ เพียงวิธีง่ายๆ แค่นี้ก็จะทำให้มีความสุขใจได้ตลอดทั้งปีแล้ว" มยุริญ เผยวิธีง่ายๆ

จงยิ้มให้ตัวเองวิธีที่ไม่ต้องลงทุนอีกอย่างหนึ่งคือ "รอยยิ้ม" ดาราสาวเผยว่า ตื่นมาตอนเช้าให้รู้จักยิ้มให้ตัวเอง เข้าไปห้องน้ำก็ยิ้มให้ตัวเอง หรือถ้ายังไม่ยิ้ม นอนบนที่นอนก็ให้คิดถึงสิ่งดีๆ ว่าวันนี้เป็นวันที่ดีของเรา จะสู้อีกวันหนึ่งด้วยสิ่งดีๆ แล้วลุกขึ้น "ตื่นนอนแล้วอย่างแรกที่ควรทำคือ จงยิ้มให้ตัวเอง ด้วยความเต็มใจ ไม่ฝืนยิ้ม แล้วให้คิดถึงแต่สิ่งดีๆ เช่น วันนี้เป็นวันที่ดีของเรา เป็นวันที่ประเสริฐของเรา เพราะความคิดที่ดีจะเป็นพลังจิตที่ดี ซึ่งจะดึงสิ่งที่ดีๆ เข้ามาหาตัวเรา ถ้าใครก็ตามจิตตก นั่งแช่งตัวเองว่าเศรษฐกิจไม่ดี พรุ่งนี้เราจะต้องแย่แน่ๆ เลย เช้านี้ วันนี้ จะต้องเป็นวันที่ไม่ดี เป็นวันที่ล้มเหลวของเรา มันก็จะเป็นวันที่ไม่ดีไปตลอดทั้งปี เพราะว่าจิตที่ไม่ดีจิตไม่งามก็จะเรียกสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเข้ามาหาเรา"

มยุริญ บอกว่า มีความทุกข์ก็ให้ยิ้มเข้าไว้ เพราะว่าแม้ว่าเราจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม จะร้องไห้หรือไม่ร้องไห้ ความทุกข์ก็ไม่หนีไปไหน ความทุกข์ก็ยังอยู่กับเราอยู่ดี เรื่องอะไรจะต้องนั่งทำร้ายตัวเองด้วยการคิดแต่สิ่งไม่ดีให้ต้องหน้าเหี่ยวหน้าย่นให้เสียเงินเสียทองอยู่ เพราะฉะนั้นเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น ก็ทำให้สุขใจได้ไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว "จงมองทุกข์อย่างเข้าใจในทุกข์ เพราะทุกข์มีไว้ให้เห็น ไม่ได้มีไว้ให้เป็น อันนี้ต้องบอกตัวเองไว้เสมอ เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่รู้ว่าทุกข์มีไว้ให้เห็นไม่ได้มีไว้ให้เป็นเท่านั้น คือคนที่เข้าใจธรรมชาติ คนส่วนใหญ่ชอบสุข เกลียดทุกข์ แต่ทุกคนไม่ได้สุขตลอดหรือทุกข์ตลอด หรือไม่ได้สุขอย่างเดียวหรือทุกข์อย่างเดียวเสมอไป สุขและทุกข์นั้นเมื่อวันหนึ่งมาเยือนเราวันหนึ่งมันก็จากเราไป ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือธรรมชาติ"
ดาราสาวบอกว่า รอยยิ้มคือมิตรภาพ รอยยิ้มไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีแต่จะนำสิ่งดีๆ มาสู่ผู้นั้น ขอเพียงอย่าไปยิ้มเยาะ ยิ้มเย้ย ยิ้มหยันผู้อื่นเท่านั้นก็ทำให้มีความสุขแล้ว

ก่อนนอน...วางปัญหาทุกเรื่องมยุริญ แนะนำเคล็ดลับอีกข้อหนึ่งว่า ก่อนนอนไม่ต้องไปคิดถึงปัญหาอะไรๆ ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเรื่องนั้นพรุ่งนี้จะเป็นยังไง จะเกิดอะไรขึ้น หากมีปัญหาอยู่ในใจก็ให้วางปัญหาเหล่านั้นก่อน ไม่ต้องเก็บเอามาคิดใดๆ ตื่นมาค่อยมาคิดแก้กันใหม่ เพราะถ้ายังไม่ลืมเรื่องต่างๆ เหล่านั้นก็จะทำให้นอนไม่หลับ

"จงทำใจสบายๆ จะสุขหรือจะทุกข์พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากัน กราบหมอนแล้วให้ระลึกถึงแต่สิ่งดีๆ ถ้าเป็นชาวพุทธด้วยก็ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนด้วย เพราะการสวดมนต์ไหว้พระจะทำให้จิตน้อมไปในกุศลหรือสิ่งดีงาม" ดาราสาวยังแนะอีกว่า นอกจากการวางปัญหาที่มีอยู่ในใจแล้ว วิธีหนึ่งที่จะสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ก่อนนอนหลังจากไหว้พระสวดมนต์แล้วให้ระลึกถึงว่า วันนี้ตัวเองได้ทำอะไรไม่ดีบ้าง ได้ทำอะไรที่ดีบ้าง

"อะไรที่ไม่ดีก็ให้ระลึกและบอกกับตัวเองว่า พรุ่งนี้และต่อจากนี้จะไม่ทำอีกต่อไป ส่วนที่เป็นเรื่องดีๆ ก็ให้ระลึกและบอกกับตัวเองจะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีต่อไปถ้ามีโอกาส เมื่อระลึกอย่างนี้ก็จะทำให้จิตผ่องใสก่อนที่จะนอน" ดาราสาว แนะนำ

ปล่อยจิตอิสระ (สักพัก) แล้วใช้สติตามวิธีการทำจิตให้ผ่องใสนั้นแต่ละคนอาจมีวิธีของตัวเอง สำหรับวิธีของ นิพนธ์ จัยสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ที.ซี. ทรานสฟอร์เมอร์ แนะนำว่า จงปล่อยความอิสระให้แก่จิตของตัวเองไปสักพักประมาณ 20-30 นาที โดยไม่ต้องไปห้าม หรือไปบังคับจิต จิตจะคิดอะไร เรื่องอะไร ดีหรือไม่ดี เสื่อมหรือเจริญก็ปล่อยให้คิด จะเที่ยวไปไกลถึงไหนให้ปล่อยก่อน
"คิดจะด่า คิดจะชม คิดจะตัดเงินเดือน คิดจะปลดพนักงาน คิดจะเลื่อนตำแหน่ง คิดจะลดตำแหน่ง เป็นต้น ก็ปล่อยให้คิดไปก่อน อย่าไปบังคับ เพราะยิ่งบังคับจิตก็ยิ่งฟุ้ง ขอเพียงกายนิ่ง ส่วนจิตจะนิ่งหรือไม่นิ่งยังไม่ต้องไปใส่ใจ" นิพนธ์ แนะนำ การที่ปล่อยจิตให้คิดอย่างอิสระโดยไม่บังคับนั้น นิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า จิตของคนเราเปรียบเสมือนม้าป่า และขึ้นชื่อว่าม้าป่านั้นเป็นสัตว์ที่ฝึกยาก คนที่ฝึกจะต้องฉลาดและรู้วิธีในการฝึกอย่างดี

"เชือกที่ใช้ผูกม้านั้นคนฝึกจะดึงตึงตลอดไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นม้าจะสู้และดึงดันกระโดดไปมา ที่ถูกวิธีจะต้องตึงบ้าง ผ่อนบ้าง ตามจังหวะและสถานการณ์ความเป็นไปของม้า เพื่อควบคุมม้าให้อยู่ เช่นเดียวกัน จิตของคนเราก็เหมือนกับม้าป่า จะบังคับให้นิ่งนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะยิ่งบังคับก็ยิ่งฟุ้ง ไม่เชื่อลองนั่งสมาธิแล้วจะรู้ว่าเพียงแค่หลับตาก็ไม่รู้จิตคิดไปไหนถึงไหนแล้ว" นิพนธ์ อธิบายนิพนธ์ บอกว่า ฉะนั้นจึงควรปล่อยจิตให้คิดไปก่อน เพราะเมื่อจิตคิดมากๆ ถึงจุดหนึ่งจิตก็จะอ่อนกำลังและจังหวะที่จิตฟุ้งน้อยที่สุดนี้แหละจึงค่อยจัดการกับจิตด้วยการเอาสติไปตามรู้อารมณ์และจิตอย่างเท่าทัน เพียงแค่นี้เราก็จะไม่เพลี่ยงพล้ำตกเป็นทาสของกิเลสที่ทำให้จิตเศร้าหมองอีกต่อไป

นิพนธ์ แนะนำว่า ขอเพียงหามุมสงบๆ นั่ง อาจเป็นมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน ระเบียงหน้าบ้าน ม้านั่งใต้ต้นไม้กลางลานบ้าน หรือแม้แต่ห้องพระ ปล่อยให้จิตคิดไปตามเรื่อง จากนั้นแล้วรอจังหวะใช้สติเข้าไปตามรู้อย่างเท่าทัน โดยไม่ปล่อยให้จิตคิดเสรีโดยไม่คุมอีกต่อไป เพียงแค่นี้ก็น่าจะป้องกันรักษาจิตไม่ให้เศร้าหมองได้








ที่มา http://www.posttoday.com/